เกร็ดความรู้ (ที่ควรรู้)
สำนวนไทยน่ารู้
โบราณท่านสอนให้เรารีบตัดสินใจทำงานการใดๆหรือเรื่องสำคัญในตอนที่โอกาสยังเปิดกว้าง หากมัวชักช้าอยู่จะทำให้เสียโอกาสอันงามนี้ไป และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่โอกาสดีเช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง
ดังนั้นควรพิจารณให้ดีว่าเมื่อมีโอกาสต้องรีบทำ อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป
คนโบราณท่านใช้เปรียบเทียบถึงคนที่รู้ไม่จริง หรือรู้ก็รู้ไม่หมด รู้เพียงบางส่วน เมื่อรู้เพียงบางส่วนก็เข้าใจไปเองว่าตนนั้นรู้แจ้ง รู้หมดทุกอย่าง เปรียบได้กับคนตาบอดที่เอามือไปคลำช้าง แน่นอนว่าเขารู้ว่าเป็นช้าง แต่ไม่รู้หรอกว่าช้างนั้นมีลักษณะสวยงามหรือไม่ มีสีอะไร มีความสามารถอะไรบ้าง เป็นต้น
ตักน้ำรดหัวตอ หมายถึง แนะนำพร่ำสอนเท่าไรก็ไม่ได้ผล
ตักน้ำรดหัวตอ นิยมใช้กับคนที่รับรู้อะไรยาก สอนยากสอนเย็น สอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักจำ อาจจะเพราะหัวไม่ดีหรือเพราะความดื้อรั้นไม่ยอมรับรู้ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเอาน้ำไปรดตอไม้ที่ตายแล้ว ย่อมไม่มีทางงอกงามแตกกิ่งก้านใหม่ได้ เสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์นั่นเอง
ปั้นน้ำเป็นตัว หมายถึง สร้างเรื่องเท็จให้เห็นเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา
ปั้นน้ำเป็นตัว ใช้กับการกระทำหรือนิสัยที่ชอบสร้างเรื่องโกหกหรือเรื่องเท็จเพื่อหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อ หลงทำตาม จนเกิดความเสียหายตามมาได้ บางครั้งก็ใช้กับคนที่ชอบโกหกเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆด้วย สำนวนนี้มีความหมายเดียวกับคำว่า เด็กเลี้ยงแกะ
สุนัขจนตรอก หมายถึง คนที่ฮึดสู้อย่างสุดชีวิต เพราะจวนตัว
สุนัขจนตรอก คนโบราณมักใช้เปรียบเทียบกับคนที่หมดทางหนี หมดหนทางเอาตัวรอด จำเป็นต้องต่อสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ เปรียบได้กับสุนัขที่หมดทางหนี มันจะหันมาสู้อย่างถวายหัวเพื่อเอาตัวรอดนั่นเอง
รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง หมายถึง ทําไม่ดีหรือทําผิดแล้วไม่รับผิด กลับโทษผู้อื่น
รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง นิยมใช้กับคนที่ไม่ค่อยยอมรับความจริงหรือไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาดของตนเอง เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นก็มักโยนความผิดให้กับผู้อื่นหรือสิ่งอื่น ตัวอย่างเช่น นายน้อมส่งงานให้เจ้านายล่าช้า โดยอ้างว่าเครื่องคอมพิวเตอรืทำงานช้าบ้าง รถติดบ้าง ทั้งๆที่งานนั้นได้รับมอบหมายไปตั้งนานแล้ว แต่ไม่รีบทำให้เสร็จโดยเร็วเอง
ที่มา: พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
คำว่า
“ภาษา” หมายถึง ถ้อยคำที่ใช้พูดหรือเขียน
เพื่อสื่อความของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒, ๒๕๔๖: ๘๒๒) เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน เป็นต้น
ประเภทของภาษา
ภาษาแบ่งตามลักษณะการสื่อสารได้
๒ ประเภท ได้แก่
๑. วัจนภาษา คือ ภาษาที่ใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร
ได้แก่ ภาษาพูด และภาษาเขียน
๒.
อวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร ได้แก่ ภาษาท่าทาง ภาษาหน้าตา
ภาษามือ และภาษาสัญลักษณ์
องค์ประกอบของภาษา ภาษามีองค์ประกอบ ๔ เรื่อง คือ
๑.
เสียง เกิดจากการเปล่งเสียงแทนพยางค์ และคำ
๒.
พยางค์และคำ เกิดจากการประสมพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์
๓.
ประโยค เกิดจากการนำคำมาเรียงกันตามลักษณะ
โครงสร้างของภาษาที่กำหนด เป็นกฎเกณฑ์หรือเป็นระบบไวยากรณ์ของแต่ละภาษา ๔.
ความหมาย คือ ความหมายที่เกิดจากคำหรือประโยคเพื่อใช้ในการสื่อสารทำความเข้าใจกัน
ลักษณะสำคัญของภาษาไทย
ภาษาไทยมีวิวัฒนาการมาตามลำดับ
ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยพระโหราธิบดี ได้แต่งตำราเรียนภาษาไทยเล่มแรก
ชื่อ จินดามณี ขึ้น ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยกระทรวงธรรมการได้พิมพ์ตำราสยามไวยากรณ์เป็นแบบเรียน
และเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ได้เรียบเรียงขึ้นใหม่ โดยย่อจากตำราสยามไวยากรณ์ จนถึง พ.ศ.๒๔๖๑
พระยาอุปกิตศิลปสารได้ใช้เค้าโครงของตำราสยามไวยากรณ์แต่งตำราหลักภาษาไทยขึ้นใหม่
ซึ่งถือว่าเป็นตำราหลักภาษาไทยที่สมบูรณ์และเป็นแบบฉบับหลักภาษาไทยที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน
โดยมีหลักการสังเกตลักษณะที่สำคัญของภาษาไทย ดังนี้
๑.
ภาษาไทยเป็นคำโดด (Isolating Language) คือ คำไทยแต่ละคำจะมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง
ใช้ได้อย่างอิสระโดยไม่มีการเปลี่ยนรูปศัพท์ เช่น พ่อ แม่ สูง ต่ำ
๒.
คำไทยแท้ส่วนมากมีพยางค์เดียว คือ
คำไทยแท้ส่วนใหญ่มีพยางค์เดียว มีความหมายเข้าใจได้ทันที เช่น โอ่ง ไห ดิน น้ำ ลม
ไฟ เป็นต้น ส่วนคำไทยแท้ที่มีหลายพยางค์มีสาเหตุมาจาก
๒.๑ การปรับปรุงศัพท์ ด้วยการลงอุปสรรคแบบไทย คือ การเพิ่มเสียงหน้าศัพท์
เช่น
ชิด
---- ประชิด
ทำ ----
กระทำ
ลูกดุม
---- ลูกกระดุม
๒.๒ การกลายเสียง เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของภาษา เช่น
เสียงกร่อน
หมากม่วง ---- มะม่วง
สายเอว ---- สะเอว
ต้นไคร้
---- ตะไคร้
๓. คำไทยแท้มีตัวสะกดตรงตามมาตรา
เช่น ตัวอย่างคำที่เกี่ยวกับการต่อสู้ ได้แก่
แม่กก ----
ชก ศอก กระแทก โขก ผลัก
แม่กด ----
กัด ฟัด รัด อัด กอด ฟาด อัด
แม่กบ ----
ตบ ทุบ งับ บีบ จับ กระทืบ ถีบ
แม่กง ---- ถอง พุ่ง ดึง เหวี่ยง ทึ้ง
แม่กน ----
ชน ยัน โยน ดัน
แม่กม ----
โถม ทิ่ม รุม ทุ่ม
แม่เกย ----
เสย ต่อย
แม่เกอว ---- เหนี่ยว
น้าว
๔. ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์
ซึ่งวรรณยุกต์นี้จะทำให้คำมีระดับเสียงและความหมายต่างกัน
เช่น
คา ค่า ค้า เขา เข่า เข้า
นำ
น่ำ น้ำ เสือ
เสื่อ เสื้อ
๕.
มีการสร้างคำเพื่อเพิ่มความหมายให้มากขึ้น การเพิ่มคำในภาษาไทยมีหลายลักษณะ เช่น
การประสมคำ คำซ้อน คำซ้ำ คำสมาส คำสนธิ ศัพท์บัญญัติ คำแผลง เป็นต้น
๖.
การเรียงคำในประโยค การเรียงคำในประโยคของภาษาไทยนั้นสำคัญมาก
เพราะถ้าเรียงคำในประโยคสลับที่กันจะทำให้ความหมายเปลี่ยนไป
เช่น
- พ่อให้เงินผมใช้
- พ่อให้ใช้เงินผม
- พ่อให้ผมใช้เงิน
- พ่อให้เงินใช้ผม
๗.
คำขยายในภาษาไทยจะเรียงอยู่หลังคำที่ถูกขยายเสมอ เช่น
- แม่ไก่สีแดง
- เรือลำใหญ่แล่นช้า
๘. คำไทยมีคำลักษณะนาม
โดยมีหลักการใช้ดังนี้
๘.๑ ใช้ตามหลังคำวิเศษณ์บอกจำนวนนับที่เป็นตัวเลข เช่น
-
นักเรียน ๑๐ คน
- แมว ๒ ตัว
๘.๒ ใช้ตามหลังคำนามเพื่อบอกลักษณะคำนามที่อยู่ข้างหน้า
เช่น
-
หนังสือเล่มนั้นใครซื้อให้
- นกฝูงนี้มาจากไซบีเรีย
๙.
ภาษาไทยมีวรรคตอนในการเขียนและการพูด
เพื่อกำหนดความหมายที่ต้องการสื่อสาร หากแบ่งวรรคตอนการเขียนผิด หรือพูดเว้นจังหวะผิด
ความหมายก็จะเปลี่ยนไป เช่น
-
อาหาร อร่อยหมดทุกอย่าง ----- อาหารอร่อย หมดทุกอย่าง
๑๐.
ภาษาไทยมีระดับการใช้ แบ่งได้ดังนี้
๑๐.๑ ระดับพิธีการ - ใช้ในพิธีการสำคัญต่างๆ
๑๐.๒ ระดับทางการ - ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ
(ภาษาทางการ)
๑๐.๓ ระดับกึ่งทางการ - ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ แต่ลดระดับโดยการใช้
ภาษาสุภาพและเป็นกันเองมากขึ้น
๑๐.๔ ระดับสนทนา - ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ
เช่น การพูดคุยทั่วไป
๑๐.๕ ระดับกันเอง - ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการกับเพื่อนสนิท
สามารถใช้
ภาษาพูดหรือภาษาคะนอง
คำพ้อง
ประโยค
คำพ้อง หมายถึง
คำที่มีรูปหรือเสียงเหมือนกัน แต่จะมีความหมายต่างกัน ซึ่งเวลาอ่านต้องอาศัยการสังเกตเนื้อความของคำที่เกี่ยวข้องคำพ้องมีหลายลักษณะ
ได้แก่
๑.
คำพ้องรูป คือ คำที่เขียนเหมือนกันแต่ออกเสียงต่างกัน
ในการอ่านจึงต้องระมัดระวังโดยดูจากบริบทของคำแวดล้อม
เพื่อให้ถูกต้องและสื่อความหมายได้ตรงกับเจตนารมณ์ของสาร
กรี อ่านว่า กรี (อ่านแบบควบกล้ำ) แปลว่า อวัยวะส่วนหัวของกุ้ง
อ่านว่า กะ-รี แปลว่า
ช้าง
แหน อ่านว่า แหน (อ่านแบบอักษรนำ) แปลว่า พืชน้ำชนิดหนึ่ง
อ่านว่า แหน แปลว่า หวง เฝ้า
เพลา อ่านว่า เพลา (อ่านแบบควบกล้ำ) แปลว่า
ตัก ส่วนของรถ เบาลง
อ่านว่า เพ-ลา แปลว่า
เวลา
๒. คำพ้องเสียง คือ คำที่เขียนต่างกันแต่ออกเสียงเหมือนกัน เช่น
๒. คำพ้องเสียง คือ คำที่เขียนต่างกันแต่ออกเสียงเหมือนกัน เช่น
กาล
กาฬ กานต์
กาล อ่านว่า กาน แปลว่า เวลา
กาฬ อ่านว่า
กาน แปลว่า ดำ
กานต์ อ่านว่า
กาน แปลว่า น่ารัก
จัน
จันทน์ จันทร์
จัน อ่านว่า จัน แปลว่า
ต้นไม้ชนิดหนึ่ง
จันทน์ อ่านว่า จัน แปลว่า ไม้หอม
จันทร์ อ่านว่า
จัน แปลว่า ดวงเดือน
๓.
คำพ้องทั้งรูปและเสียง คือ คำที่เหมือนกันและอ่านออกเสียงเหมือนกัน
แต่จะต่างกันในด้านความหมาย
ซึ่งขึ้นอยู่กับใจความของคำในบริบทข้างเคียง
กัน
กัน อ่านว่า กัน
แปลว่า โกนให้เสมอกัน
กัน อ่านว่า
กัน แปลว่า ฉัน, ข้าพเจ้า
ขัน
ขัน อ่านว่า
ขัน แปลว่า
ทำให้ตึง
ขัน อ่านว่า
ขัน แปลว่า
น่าหัวเราะ
ประโยค
ประโยค
หมายถึง ถ้อยคำหลายคำที่นำมาเรียงกันแล้วเกิดใจความสมบูรณ์ ซึ่งประกอบไปด้วย ภาคประธาน และภาคแสดง
ใช้ติดต่อสื่อสารกันได้ทั้งทางภาษาเขียน หรือภาษาพูด แต่การใช้ภาษาพูดในสถานการณ์ต่างๆกัน อาจละเว้นส่วนหนึ่งส่วนใดได้ในฐานที่เข้าใจกันระหว่างผู้พูด
และผู้ฟัง ลักษณะของประโยคต่างๆ จำแนกตามโครงสร้าง ดังต่อไปนี้
๑. ประโยคความเดียว
(เอกรรถประโยค)
ประโยคความเดียว
(เอกรรถประโยค) หมายถึง ประโยคที่กล่าวถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว และสิ่งนั้นแสดงกริยาอาการ
หรืออยู่ในสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว ประโยคประกอบด้วยภาคประธาน
และภาคแสดง เช่น
ภาคประธาน
|
ภาคแสดง
|
นก
|
บินไปหากิน
|
แมว
|
ร้องดังเหมียวเหมียว
|
เรือ
|
แล่นไปช้าๆ
|
รูปประโยคความเดียว แบ่งได้เป็น ๔ แบบ
ดังนี้
๑.๑
ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยผู้กระทำ เช่น
- แม่ทำกับข้าว
- ยายป้อนข้าวน้อง
๑.๒
ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยผู้ถูกกระทำ เช่น
- กระดาษถูกครูตัด
- ต้นไม้ถูกปลูกหลายต้น
๑.๓ ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยกริยา เช่น
- เกิดเหตุการณ์จลาจลที่ต่างประเทศ
- ฝนตกหนักที่นนทบุรี
๑.๔ ประโยคเชิงคำสั่งและขอร้อง เช่น
- อย่าเดินลัดสนาม (คำสั่ง)
- กรุณาเดินชิดด้านใน (ขอร้อง)
นอกจากนี้
ยังมีการแบ่งรูปแบบของประโยคความเดียวตามลักษณะการสื่อสาร ได้แก่
ประโยคบอกเล่า โดยมากประกอบด้วย ประธาน กริยา กรรม
และอาจมีส่วนขยายต่างๆ เพื่อให้มีใจความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
-
ครูกำลังสอนหนังสือนักเรียนชั้น ป.๒
-
ฉันเดินไปตลาดนัดคนเดียว
ประโยคปฏิเสธ โดยมากมักมีคำว่า ไม่ มิใช่
หามิได้ ประกอบตัวแสดง เช่น
-
เขาไม่ได้มาหาฉันนานแล้ว
-
ผมไม่สนใจศิลปินเกาหลี
-
คุณมิได้อ่านคำแนะนำก่อนใช้ยา
ประโยคคำสั่งและขอร้อง โดยมากจะละประธานไว้ในฐานที่เข้าใจ
มีเฉพาะแต่แสดง เช่น
- โปรดฟังทางนี้
- ยกของขึ้นเดี๋ยวนี้
- กรุณาอย่าเดินลัดสนาม
ประโยคคำถาม โดยมากจะมีคำถามกำกับอยู่ต้น
หรือท้ายประโยค เช่น
- มดชอบกินอะไร
- เธอเรียนอยู่ชั้นไหน
-
หนูเป็นลูกของใคร
๒. ประโยคความรวม
(อเนกรรถประโยค)
หมายถึง ประโยคที่รวมประโยคความเดียวตั้งแต่
๒ ประโยคขึ้นไป โดยมีคำสันธาน เช่น และ แต่ หรือ ก็ เป็นตัวเชื่อม ประโยคความรวมมี
๔ ชนิด (จงชัย เจนหัตถการกิจ, ๒๕๕๑: ๑๐๒) ได้แก่
๒.๑ ประโยคความรวมแบบคล้อยตาม
จะมีเนื้อหาคล้อยตามกัน เช่น
- พนักงานดับไฟสงบแล้วจึงเข้าไปตรวจในพื้นที่
- ครั้นถูกครูดุแล้วเขาจึงตั้งใจเรียน
๒.๒ ประโยคความรวมแบบขัดแย้ง
จะมีเนื้อความขัดแย้งกัน เช่น
- กว่าเขาจะสำนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว
- เธอเป็นคนปากหวานแต่ก็ไม่จริงใจ
๒.๓
ประโยคความรวมแบบเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะมีเนื้อความขัดแย้งกัน เช่น
- ไม่เขาก็เธอต้องออกไปพูดหน้าห้อง
- คุณต้องการดื่มชาหรือกาแฟ
๓. ประโยคความซ้อน
(สังกรประโยค)
ความประโยคความซ้อน
คือ ประโยคที่มีใจความหลักประโยคหนึ่ง แล้วมีประโยคย่อยอีกประโยคหนึ่งซ้อนอยู่ ซึ่งประโยคย่อยนั้นอาจทำหน้าที่เป็นคำนาม
ขยายนาม หรือสรรพนาม หรือขยายกริยาหรือวิเศษณ์ ประโยคความซ้อนมี
๓ ชนิด ได้แก่
๓.๑
นามานุประโยค คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่แทนนาม
ซึ่งนามนั้นอาจทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม หรือส่วนเติมเต็มในประโยคก็ได้ เช่น
- คนเห็นแก่ตัวเป็นคนที่สังคมรังเกียจ
- ผมชอบมองนกนางนวลบินโฉบไปมา
- นักเรียนที่สอบได้ที่ ๑
ให้ออกมารับรางวัล
- ท่านพุทธทาสภิกขุสอนว่าสิ่งทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
๓.๒
คุณานุประโยค คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนาม
โดยมีประพันธสรรพนาม ที่ ซึ่ง อัน ผู้ เป็นตัวเชื่อม เช่น
- ฉันได้รับรางวัลที่ราคาไม่แพงแต่มากด้วยคุณค่าทางจิตใจ
- เราพึงระวังความเสียงต่างๆ
อันจะนำไปสู่โรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่
- เธอเป็นคนเหนือผู้ซึ่งอยากไปทำงานในภาคใต้
๓.๓
วิเศษณานุประโยค คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่ขยายกริยา
หรือวิเศษณ์ โดยมีคำประพันธวิเศษณ์ เช่น
อย่างที่ เมื่อ เพื่อ เพราะ ตาม จน ตั้งแต่ เป็นตัวเชื่อม เช่น
- เธอออกกำลังกายทุกวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
- นักวิ่งเป็นลมเมื่อวิ่งมาถึงเส้นชัย
- รถติดในกรุงเทพฯ เพราะมีรถมากกว่าถนน
- เขาเขียนหนังสือตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก
อ่านแล้วได้ความรู้มากมายคะ
ReplyDeleteเนื้อหาน่าอ่านมากค่ะ
ReplyDeleteได้ความรู้มากจ้า
ReplyDeleteขอบใจจ้า
ReplyDelete